เทศกาลเข้าพรรษา ชวนกันมาใส่บาตรที่ วัดธรรมิกราช (ให้เต็มกันเถอะ)

              
                                                                      ประกาศ
                                   สำหรับท่านที่เข้าชมหน้าเว็บต่างๆของบล็อกผ่านทาง internet explorer ไม่ได้
ให้ท่าน download IE ตัวอื่นมาใช้แทน internet explorer เช่น firefox ,google chrome หรือโปรแกรมอื่นๆครับ
 ขอขอบคุณครับ
               แนะนำ Firefox    http://www.mozilla.org/th/firefox/new/
      



                       เทศกาลเข้าพรรษา ชวนกันมาใส่บาตรที่ วัดธรรมิกราช (ให้เต็มกันเถอะ)
         สวัสดีครับทุกๆท่าน หายกันไปหลายเดือนสำหรับทีมงานล้อหมุน.คอม ถึงมาช้าหน่อยแต่มาแน่นอนครับ ช่วงนี้เทศกาลเข้าพรรษา ทีมงานก็เลยอยากชักชวนกันมาทำบุญกันบ้างครับ เพื่อเป็นศิริมงคลให้กับตนเองและครอบครัว หลายคนสงสัย ทำไมต้องไปใส่บาตรที่วัดธรรมิกราชด้วย  "พระเดินบิณฑบาตผ่านบ้านฉันทุกวัน ทำไมจะต้องไปให้มันเปลืองน้ำมันรถทำไม๊ก็เพราะว่าบาตรที่วัดนี้ไม่เหมือนบาตรที่พระอุ้มผ่านหน้าบ้านเจ๊ทุกวันสิครับ(ดูรูปประกอบ)  เรื่องมีอยู่ว่าทีมงานล้อหมุน.คอม  ขับรถผ่านหน้าวัดธรรมิกราชช่วงตอนบ่าย ก็มีแสงบางอย่างแว๊บผ่านเข้ามาด้านทางวัด ด้วยความสงสัยทีมงานเลยเลี้ยวรถกลับไปดูที่มาของแสง  ขับเข้าไปในวัดเห็นรูปปั้นเศียรพระขนาดใหญ่ ตั้งอยู่คู่กันกับบาตรเงินใบใหญ่ ทีมงานก็ยังงงว่ามีวัดโบราณอยู่ตรงนี้ด้วยหรือ แต่ก็พอจะเดาได้ว่าแสงที่ทำให้ทีมงานเลี้ยวรถกลับมาดู คือแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ยามบ่ายที่มากระทบกับบาตรเงินใบนี้นี่เอง (ที่จริงทีมงานก็ขับผ่านหน้าวัดนี้กันอยู่บ่อยๆแต่ไม่ได้สังเกตุเพราะจะผ่านกันตอนช่วงตอนเย็น)   



               และนี่คือสาเหตุที่ชวนกันมาใส่บาตรที่วัดธรรมิกราชภายในวัดธรรมิกราช ภายในบริเวณมีโบราณวัตถุหลายจุดให้ชมกัน ตั้งแต่เจดีย์ล้อมด้วยสิงห์ พระวิหารเก้าห้อง  เศียรพระพุทธรูปหล่อสำฤทธิ์ บ่อน้ำโบราณศักดิ์สิทธิ์ของวัด ประมาณปี๒๔๘๔  และบาตรเงินใบยักษ์ ที่สามารถเก็บภาพได้


                         เศียรพระพุทธรูปหล่อสำฤทธิ์เป็นศิลปะสมัยอู่ทอง เดิมอยู่ในวิหารหลวงมีความศักดิ์สิทธิ์มาก กล่าวว่าผู้ใดเป็นคดีความกันมาสาบานต่อหน้าพระพักตร์คนผิดต้องตายหรือมีอัน เป็นไปทุกคนเป็นที่กล่าวขานกันมาก สมัยที่พระยาโบราณราชธานินทร์ เป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ในพระราชวังจันทรเกษม ได้นำเศียรพระพุทธรูปนี้ไป ต่อมากรมศิลปากรจึงนำไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา ความศักดิ์สิทธิ์จึงคลายไป



         ทางเข้าประตูวัดด้านหน้าเล็กมาก เพราะฉะนั้นถ้าขับรถผ่านไม่สังเกตุให้ดีก็อาจขับเลยได้ครับ แต่ยังมีนักท่องเที่ยวแวะเข้ามามากทุกวันครับ เปิดทุกวัน เวลา 08.30-16.30  ใส่บาตรแล้วอย่าลืมหาของอร่อยๆทานกันแล้วค่อยเดินทางกันต่อนะครับ






  


  วัดธรรมิกราช
วัดธรรมิกราช ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกติดกับแนวกำแพงพระราชวังโบราณ โดยมีถนนคั่นไว้ ด้านหน้าของวัดอยู่ทางทิศตะวันออก ดังนั้นท้ายวัดก็คือ ด้านทิศตะวันตก หรือด้านหน้าพระราชวังนั่นเอง


        พระเศียรของพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่ (กว้าง 1.40 เมตร สูง 1.80 เมตร) ที่จัดแสดงไว้ชั้นล่างของอาคารหลักที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา นั้น มีคำอธิบายว่าเป็นศิลปะแบบอู่ทอง หรือศิลปะแบบสมัยอยุธยาตอนต้น เนื่องจากพระพักตร์ของพระพุทธรูปค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมในแบบประติมากรรมของ ขอมเขมร เมื่อรวมกับตำนานในพงศาวดารเหนือที่กล่าวว่าพระยาธรรมิกราช พระราชโอรสของพระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นผู้สร้างวัดนี้ขึ้น ต่อมาจึงให้ชื่อวัดว่า วัดธรรมิกราช ตามพระนามกษัตริย์ผู้สร้าง จากเหตุผล 2 ข้อดังกล่าวจึงเชื่อกันว่าวัดนี้น่าจะสร้างก่อนที่พระเจ้าอู่ทองสร้างกรุง ศรีอยุธยาเสียอีก
        อาคารสำคัญของวัดคือ วิหารหลวงขนาด 11 ห้อง (19 x 53 เมตร) ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่ ที่ยังเหลือเพียงพระเศียรดังกล่าวข้างต้น วิหารนี้ยังมีกำแพง ซึ่งเจาะช่องรับแสงแบบวัดหน้าพระเมรุเหลืออยู่ และยังมีเสาวิหารขนาดใหญ่ที่ใช้รองรับเครื่องบน วิหารนี้มีกำแพงแก้วล้อมรอบ (33 x 80 เมตร) เนื่องจากขนาดที่ใหญ่และตั้งอยู่ด้านหน้าพระราชวัง จึงให้ชื่อวิหารนี้กันว่า พระวิหารทรงธรรม
        ด้านหน้าวิหารหลวงเป็นองค์เจดีย์ทรงระฆังที่พังทลายไปครึ่งองค์แล้ว รอบฐานของเจดีย์มีสิงห์ปูนปั้นแบบศิลปะขอมเขมร ยืนอยู่โดยรอบ จึงอาจเป็นไปได้ว่าองค์เจดีย์นี้น่าจะสร้างในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งเป็นยุคสมัยที่นิยมศิลปะขอมเขมรอีกครั้ง
        วิหารหลวงมีอาคารขนาดใหญ่ขนาบด้านข้างทั้ง 2 ด้าน ด้านเหนือเป็นฐานของวิหารขนาดใหญ่ ส่วนด้านใต้เป็นอุโบสถ อาคารนี้น่าจะสร้างขึ้นใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
        ด้านทิศเหนือของวัดใกล้กับองค์เจดีย์ มีวิหารพระนอน หรือพระพุทธไสยาสน์ขนาดยาว 12 เมตร หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ ที่ฝ่าพระบาทมีรอยมงคลปิดทองประดับกระจก วิหารแห่งนี้ซ่อมแซมในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม พ.ศ. 2499 ภายหลังจากการบูรณะจึงมีพระสงฆ์จำพรรษาอีกครั้งหลังจากเป็นวัดร้างมาแต่ ครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2
        หลักฐานที่แสดงให้เห็นความสำคัญของวัดนี้ในสมัยอยุธยานอกเหนือจากเรื่องที่ ตั้งและขนาดที่ใหญ่โตแล้ว ในสมัยอยุธยาตอนปลาย เมื่อพระเจ้าบรมโกศสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2301 นั้น ได้เกิดเหตุการณ์พระราชโอรสแย่งชิงราชสมบัติกัน กระทั่งพระราชาคณะ 5 รูป จาก 5 วัดสำคัญของอยุธยาต้องออกมาเกลี้ยกล่อมให้เหล่าพระราชโอรสของพระเจ้าบรมโกศ สมานฉันท์และยอมรับการเป็นกษัตริย์ของพระเจ้าอุทุมพร หนึ่งในพระราชาคณะนี้คือ พระธรรมโคดมแห่งวัดธรรมิกราช (อีก 4 รูป ได้แก่ พระธรรมเจดีย์ วัดสวนหลวงสบสวรรค์, พระพุทธโฆษาจารย์ วัดพุทไธศวรรย์, พระเทพมุนี วัดกุฎีดาว และพระเทพกระวี วัดพระรามาวาส)



-------------------------------------------------

Wat Thammikarat    Ayutthaya


Wat Thammikarat is located in the east adjoined the Ancient Palace city walls, but separated by a road. The temple turns its face to the east, and turns its back to the west or the front of the Royal Palace.

The Buddha image’s head made of archaic

A big Buddha image’s head made of archaic (1.40 meters wide and 1.80 meters high) was moved from the temple and displayed on the first floor of Chao Sam Phraya National Museum. He was indicated to be in U-thong or early Ayutthaya artistic style due to his rather squared face like that of Khmer architecture, including the legend saying about Phraya Thammikarat, King Sainampheung’s son and the builder of the temple. Later this temple was named “Thammikarat” in the name of the King who built the temple.  From the two reasons mentioned, this temple should have been built before the reign of King U-thong, the founder of Krung si Ayutthaya.

The important building in Wat Thammikarat was Wihan Luang (The Grand Wihan) in the size of 11 rooms (19 x 53 meters). A big Buddha image made of archaic was situated in the wihan, the one only the head left and kept at the museum. The temple walls were punched holes to receive sunlight like those of Wat Na Phra Mane, and the big pillars used to support the roof are still left. This wihan was surrounded by a wall (33 x 80 meters). Due to the fact that this temple was very big, and it was located in front of the Royal palace; it was called “Phra Wihan Songtham (The wihan for doing royal merit).
The stupa in the form of overturned bell surrounded by models of lions

In front of Wihan Luang, there was a stupa in the form of overturned bell, but the top half of it was damaged. Models of standing lions made of mortar in Khmer artistic style surrounded the stupa. It is possible that the stupa might have been built in the reign of King Prasat Thong which Khmer artistic style was favorite.
Additionally, two big buildings were constructed on both sides of Wihan Luang. The big base indicates a big wihan in the north and the Ubosot was in the south. The big building might be built in early Rattanakosin (Bangkok) period.

North of the temple near the stupa, there was a wihan for a reclining Buddha image or called in Thai “Phra Buddha Saiyad” in the size of 12 meters long. The image turned his face to the north, and his feet palms were carved with auspicious marks covered with gold leaves and decorated with pieces of glass. This wihan was renovated by the government led by Field Marchal Por Piboonsongkhram in 1956. After the renovation, there were monks staying in the temple after it had been deserted for a long time after Ayutthaya was completely destroyed.

The foundation revealing the importance of this temple was not only from its big size, but also from the location revealed since the late Ayutthaya period. After King Boromakot died in 1758, his sons became rivals and fought for the throne. Heads of the Buddhist monks from 5 important temples in Ayutthaya tried to talk the princes into friendly agreement and raised Prince Uthumphon to be king.  One of the heads of monks was Phra Thammakhodom from Wat Thammikarat (The other four are: Phra Thammachedi from Wat Suanluang Sobsawan, Phra Buddha Kosajan from Wat Buddhai Sawan, Phra Thepmunee from Wat Kudeedao and Phra Thepkrawee from Wat Ramawat).



ขอขอบคุณข้อมูลจาก  วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
                           สถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา
                ขอบคุณ  405 Shop






ทุ่งมะขามหย่อง สถานที่ประวัติศาสตร์ และ ที่พักริมทางแห่งถนน 347


         ทุ่งมะขามหย่อง สถานที่ประวัติศาสตร์ และ ที่พักริมทางแห่งถนน 347
                 ขากลับซื้อของฝากติดมือกลับบ้านที่ อยุธยา พาวีเลี่ยน



                  สวัสดีครับหลังจากที่หายไปนาน วันนี้กระผมและทีมงานล้อหมุนเจ้าเก่าจะได้เริ่มทำงานกันซะที(หลังจากที่ล้อไม่หมุนมานานนนนน) กับเรื่องราวที่ดองไว้เกือบปีวันนี้ได้มีโอกาศนำเสนอ ถึงจะมาช้าแต่ชัวร์ครับ ถ้าเดินทางผ่านมาบนเส้นทาง347 นี้ก็อย่าลืมแวะพักรถกันสักนิดนึงสถานที่จอดรถกว้างขวาง เดินสูดอากาศ ยืดเส้นยืดสาย แบบสบายๆแล้วค่อยเดินทางกันต่อก็คงไม่เสียเวลานะครับ หรือจะตั้งใจมาก็ไม่ว่ากันครับ


ไหว้หลวงพ่อใหญ่ วัดม่วง วิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง(พระพุทธรูปใหญ่ที่สุดในโลก)


ไหว้หลวงพ่อใหญ่ วัดม่วง วิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง (พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ)

สวัสดีทุกท่านกับวันที่น้องน้ำจากไปแต่ไม่ได้ไปแล้วไปลับเพราะอีก7-8เดือนเธอจะกลับมาใหม่
กว่าจะโผล่มาได้หลังจากที่โดนกระแสน้ำท่วมฟีเวอร์เล่นเอาโรงเรียนปิดกันยาว วัด สถานที่ ต่างๆเสียหายไปตามกัน ที่น่าเสียดายมากคือโบราณสถาน สถานที่ท่องเที่ยวประวัฒิศาสตร์ ที่โดนน้ำท่วม ในเมื่ออยุธยายังต้องรอการฟื้นฟู เราก็เลยแวะไปเที่ยวจังหวัดเพื่อนบ้าน ที่มี เรื่องราวประวัฒิศาสตร์ มากมายที่ไม่น้อยกว่าอยุธยา

วันนี้เราพากันไปที่จังหวัดอ่างทอง ช่วงนี้อากาศไม่ค่อยร้อนมากและใกล้เทศกาลปีใหม่ถ้าใครยังไม่เคยมารีบมาเลยขอบอก มาวัดนี้บอกได้เลยว่าคุ้มมากๆมีอะไรๆให้ดูแยอะ มีทั้งความบันเทิง และ ให้ความรู้ ให้ประโยชน์ ให้เราหยุดเดิน ให้เราหยุดคิด หรือจะเดินหน้าต่อไป ถ้ามีเวลาว่างก็รีบชวนลูกชวนหลานมาเที่ยวที่วัดม่วง อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง รับรองเป็นอีกหนึ่งแห่งที่ทีมงาน ล้อหมุน.คอม ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน ที่นี่มีพระองค์ใหญ่มาก และด้านหน้าองค์พระก็ยังมีรูปั้นจำลอง ขนาดเท่าของจริง มีเรื่องราวมากมาย ให้ดูให้ชม โบถร์แก้วสวยงามไม่แพ้ที่อื่นเหมือนกัน กำแพงดอกบัว ที่ขาดไม่ได้ก็ให้อาหารปลานี่แหละที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์

น้ำท่วมตลาดบ้านแพน ประจำปี2554 ความลำบาก หรือความเคยชิน




สำหรับตลาดบ้านแพนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วครับแค่น้ำท่วม เพราะมันท่วมเกือบทุกปี กับภูมิลำเนาติดกับแม่น้ำเป็นที่ลุ่มรับน้ำพอดีเลย จะมากจะน้อยก็แล้วแต่ความปราณีของธรรมชาติ สำหรับปีนี้มาไวกว่าปีที่แล้ว1เดือน พี่แกมาแบบว่าท่วมก่อนและท่วมนาน เล่นเอาโรงเรียนปิดกันเป็นเดือนๆ แต่ธุรกิจของบรรดาแม่ค้าในตลาดก็ยังอยู่ได้ พอน้ำมาก็ต้องรู้ว่าทำยังไง เพราะมันเป็นความเคยชินไปแล้ว ของคนตลาดบ้านแพน แต่ไม่ใช่ทำมาหากินไม่ลำบากนะ ลำบากมาก ลำบากแบบรู้ตัว ไม่เหมือนบางพื้นที่ มาแบบไม่ทันตั้งตัว และอีกหลายๆอาชีพก็แย่ไปตามๆกัน และปีนี้อ่วมหนักกว่าทุกๆปีที่ผ่านมา ท่วมก่อน ท่วมหนัก ท่วมนาน ก็สู้ๆครับ

สำหรับท่านที่หลงเข้ามาอ่าน ขอวอนช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ตามจุดรับความช่วยเหลือตามสถานที่ต่างๆ เพียงแค่ท่านละ10-20บาท หรือมากกว่านั้นตามกำลังศรัทธา เพราะยังผู้ที่ประสบภัยยังมีอีกมากหลายๆพื้นที่ ที่ลำบากมากจริงๆ และยังรอความช่วยเหลือ จากน้ำใจของคนไทย ผู้ให้มีความสุข ผู้รับก็ดีใจครับ

ช่วงนี้งานยุ่งทีมงานเลยไม่ค่อยได้อัพข้อมูลข่าวสารเท่าใดนัก ทีมงานเลยเก็บภาพน้ำท่วมตลาดบ้านแพนมาฝากไว้ดูเล่นกันครับ






นมัสการ หลวงปู่ทิม อัตตสันโต วัดพระขาว กับแหล่งเรียนรู้เมืองกรุงเก่า



สวัสดีปีใหม่ครับ ขอให้พี่ๆน้องมีความสุขความเจริญ รวยๆกันถ้วนหน้าตลอดปี2554นะครับ
ล้อหมุน.คอมรายงานตัวครับ หายไปนานนึกว่าลอยไปกับน้ำซะแล้ว อันดับแรกขอกลาบขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมบล็อกของเรามากมาย ที่เข้ามาอ่านบทความ เก็บเกี่ยวสิ่งที่เป็นประโยชน์ส่วนสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ไม่ต้องเอาออกไปนะครับหรือท่านที่บังเอิญคลิ๊กผิดเข้ามาก็ต้องขอขอบคุณไว้นะที่นี้ด้วยครับ ไม่ต้องกลัวของดียังไม่หมดอยุธยาครับ ทีมงานล้อหมุน.คอมจะพยายามแสวงหามาให้ท่านได้ชมกันอีกเรื่อยๆ หากันแถวๆบ้านนี่หล่ะครับไม่ต้องไปไกล
ขึ้นชื่อว่าพระเกจิ อยุธยามีไม่น้อย และที่ผมจะกล่าวถึงเป็นผู้ทรงศีลที่ถูกขนานนามว่า "พระมากเมตตา"


หลวงปู่ทิม อัตตสันโต วัดพระขาว "พระครูสังวรสมณกิจ"
วัดพระขาว มีเป็นวัดขึ้นชื่ออีกหนึ่งวัด ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่อาจเพราะอยู่นอกตัวเมืองนักท่องเที่ยวหรือคณะทำบุญจึงไม่ค่อยได้แวะมาเท่าที่ควร ที่วัดพระขาวนี้บอกเลยว่าไม่ธรรมดาเลยในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นโบสถ วิหาร มณฑป ศิลปะต่างๆ วัตถุมงคล แพปลา ไม่ได้ด้อยไปกว่าวัดในเมืองเลย งานนี้ทีมงานล้อหมุนได้เดินทางแบบไม่ได้เตรียมตัวก็เลยเก็บภาพมาได้เล็กน้อยเพราะมัวแต่ตะลึงกับความงามของ มณฑปลายรดน้ำ อัตตสันตมหาเถราจารย์ มณฑปซึ่งสร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง อยากให้ท่านมาเห็นด้วยตัวเองจริงๆครับ ตรุษจีนนี้ก็แวะเวียนมาเที่ยวกันได้นะครับ ช่วยกันส่งเสริมการท่องเที่ยวจะได้คึกคักกันหน่อยครับ อยากมาแต่มาไม่ถูกติดต่อสอบถามเส้นทางได้ที่ 087-3711704 ยินดีให้บริการครับ


ประวัติวัดพระขาว วัดพระขาว สังกัดมหานิกาย อยู่ในเขตการปกครองคณะสงฆ์ ตำบลน้ำเต้า อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัดมีเนื้อที่19ไร่2งาน ทิศเหนือ และทิศใต้มีบ้านล้อมทั้งสองทิศ ทิศตะวันออกติดถนนหลวง ทิศตะวันตกมีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านตลอดปี วัดพระขาวสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในปี พ.ศ.2440 ภายในอุโบสถ ยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง แบบประเพณี เช่นพุทธประวัติ ไตรภูมิ มารผจญ ทศชาติ และภาพทวารบาล

จุดเด่นของวัดนี้มีเยอะมาก หลวงพ่อขาว พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ แหล่งเรียนรู้เมืองกรุงเก่า มณฑปลายรดน้ำ เรือนไทยลายกำมะลอ พระประจำวัน พระโพธิสัตว์กวนอิม พระแม่โพสพ แม่นางกวัก พญาเต่าเรือน แพปลามัจฉาธานี และร่วมกันทำบุญบำรุงพระพุทธศาสนา ทำกันตามศรัทธาไม่ได้บังคับ


เมืองกรุงเก่าพระนครศรีอยุธยา มีพระเกจิอาจารย์เรืองนามอยู่ 3 รูปร่วมสมัยและเป็นสหธรรมิกกัน
ประกอบด้วย หลวงปู่เมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา, หลวงปู่มี วัดมารวิชัย และหลวงปู่ทิม วัดพระขาว ซึ่งมีวัยวุฒิไล่เลี่ยกัน โดยเฉพาะด้านไสยเวทวิทยาคมก็เป็นเอกอุต่างกัน แต่ด้วยสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้ หลวงปู่เมี้ยน และหลวงปู่มี ละสังขารไปก่อน
ภาระเจตนาบุญได้รับการสืบสานต่อโดยหลวงปู่ทิม พระเกจิอาจารย์แห่งวัดพระขาว จ.พระนครศรีอยุธยา พิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคล ล้วนแล้วแต่ต้องนิมนต์หลวงปู่ทิม เพื่อทำหน้าที่ประธานฝ่ายสงฆ์ จุดเทียนชัยหรือดับเทียนชัย


แต่แล้วเมื่อช่วงเช้าวันที่ 22 มีนาคม 2552 คณะศิษย์ของหลวงปู่ทิม อัตตสันโต ต้องได้รับข่าวเศร้า เมื่อหลวงปู่ทิมหรือพระครูสังวรสมณกิจ ได้มรณภาพลงอย่างสงบ ขณะเข้ารับการรักษาอาการป่วย ณ โรงพยาบาลโรคทรวงอก อ.เมือง จ.นนทบุรี สิริอายุ 96 พรรษา 62


ประวัติ หลวงปู่ทิม อัตตสันโต แห่งวัดพระขาว
อัตโนประวัติหลวงปู่ทิม มีนามเดิมว่า ทิม ชุ่มโชคดี เกิดวันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม 2456 ปีฉลู ที่ต.พระขาว อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายพร้อม และนางกิ่ม ชุ่มโชคดี เป็นบุตรคนที่ 5 ในจำนวนลูกทั้งหมด 6 คน
คนแรก พี่ทอง ชุ่มโชคดี เป็นหญิง เสียชีวิตตั้งแต่เยาว์วัย
คนที่ 2 พี่เทียบ ชุ่มโชคดี
คนที่ 3 พี่ทัศน์ ชุ่มโชคดี เป็นผู้ใหญ่เก่า หมู่ 5 ต.พระขาว (เสียชีวิตแล้ว)
คนที่ 4 พี่ทอด ชุ่มโชคดี
คนที่ 5 หลวงปู่ทิม ชุ่มโชคดี มรณภาพ วันที่ 22 มีนาคม 2552
คนที่ 6 นายสังวาลย์ ชุ่มโชคดี

ช่วงวัยเยาว์ หลวงปู่ทิมได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่วัดพิกุล จนถึงอายุ 13 ปี เมื่อจบ ป.4 จึงออกจากโรงเรียนมาช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพทำนา ก่อนจะถูกเกณฑ์เป็นทหาร ถูกส่งตัวไปปฏิบัติราชการสงครามฝรั่งเศส รวมทั้งสงครามโลกครั้งที่ 2

กระทั่งปลดประจำการ หลวงปู่ทิมจึงได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2475 ณ วัดพิกุล อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมี หลวงพ่อปุ๋ย วัดขวิด เป็นพระอุปัชฌาย์, หลวงพ่อหลิ่ว วัดโพธิ์กบเจา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการหลิ่ว เจ้าอาวาสวัดพิกุล เป็นพระอนุสาวนาจารย์
แต่บวชอยู่ในบวรพระพุทธศาสนาได้เพียง 1 พรรษา ท่านได้ลาสิกขาแต่งงานมีครอบครัวและมีบุตร-ธิดา 4 คน

หลังจากนั้น หลวงปู่ทิมท่านได้กลับมาอุปสมบทอีกครั้ง เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2491 ขณะอายุได้ 35 ปี ณ วัดพิกุล อ.บางบาล โดยมี พระครูอุดมสมาจารย์ (หลวงพ่อสังข์) วัดน้ำเต้า เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายา อัตตสันโต

หลังอุปสมบท หลวงปู่ทิมได้อยู่จำพรรษาอยู่ที่วัดพิกุล อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ในระหว่างที่หลวงปู่ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดพิกุลนั้นได้มีชาวบ้านนำเอาศพคนตายมาฝากไว้ในกุฏิถึง 2ศพด้วยกัน ทำให้เกิดมีแนวกรรมฐานด้วยตนเองอย่างถ่องแท้ พร้อมทั้งอาศัยหลักกรรมฐานด้วยตนเองอย่างถ่องแท้ พร้อมทั้งอาศัยหลักกรรมฐานที่ว่า สามัญในลักษณะ หมายความว่า ลักษณะที่เสมือนกันใน สังขารทั้งหลายทั้งปวง สิ่งนั้นก็คือ
อนิจจัง ( ความไม่แน่นอนในสังขาร )
ทุกข์ขัง (ความวุ่นวาย , ไม่สงบสุข ในสังขาร )
อนัตตา (ความตาย , ไม่มีตัวตน )

จากนั้นหลวงปู่ทิม ท่านได้ไปจำวัดอยู่ยังวัดน้ำเต้ากับอุปัชฌาย์ คือ หลวงพ่อสังข์ อยู่กับหลวงพ่อวัดน้ำเต้าประมาณ 1 เดือน ในระหว่างที่อยู่กับหลวงพ่อสังข์นั้น หลวงพ่อสังข์ได้ไต่ถามถึงความเป็นมาของการปฏิบัติกรรมฐานที่ผ่านๆ มาเมื่อหลวงพ่อสังข์ ทราบเรื่องแล้ว หลวงพ่อสังข์ก็กล่าวชมเชยว่า ใช้ได้ทั้งๆที่ยังไม่มีใครสอนหรือต่อให้มากอน พร้อมทั้งพูดเสริมขึ้นอีกว่า "ฉันบวชให้คุณฉันได้บุญหลาย" ต่อจากนั้น หลวงปู่ทิมก็ได้นั่งปุจฉา-วิสัชนาอยู่กับหลวงพ่อวัดน้ำเต้าอย่างใก้ลชิด และทราบซึ้งในธรรมะมาก นับว่าเป็นครั้งแรกที่หลวงปู่ท่านได้รับรู้แนวทางการเจริญธรรมกรรมฐานอย่าง จริงจังหลวงปู่ทิมมีเวลาอยู่เจริญกรรมฐานกับหลวงพ่อวัดน้ำเต้าอย่างใก้ลชิดเป็นเวลา 1 เดือนเต็ม ต่อมาหลวงปู่ทิมจึงย้ายมาจำพรรษายังวัดพระขาว ตั้งแต่ พ.ศ.2492 และขึ้นเป็นเจ้าอาวาส พ.ศ.2498 จวบจนปัจจุบัน
ด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม หลวงปู่ทิม วัดพระขาว สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก เมื่อ พ.ศ.2500
พ.ศ.2510 ได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าคณะตำบลน้ำเต้า ตำบลพระขาว พร้อมทั้งได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ.2512 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ในราชทินนามที่ พระครูสังวรสมณกิจ
พ.ศ.2520 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในราชทินนามเดิม
ผลงานด้านการพัฒนา หลวงปู่ทิมท่านได้บูรณปฏิสังขรณ์สภาพของวัดที่เก่าแก่แต่เดิม ให้มั่นคงถาวรทั้งหมด
ดังที่ได้เห็นทุกวัน ซึ่งเกิดจากบุญญาบารมีของหลวงปู่ทิม วัดพระขาวอย่างแท้จริง ซึ่งมีผลงานปรากฏดังนี้คือ
หลวงปู่ทิมปรับปรุงกุฏิทั้งหมด รวม 9 หลัง เมื่อปี พ.ศ.2499-2500 สร้างหอสวดมนต์ เมื่อปี 2501 เปลี่ยนกระเบื้องหลังคาพระอุโบสถจากกระเบื้องดินให้เป็นกระเบื้องเคลือบ ยกช่อฟ้าพระอุโบสถ ทำหน้าบันพระอุโบสถทำกำแพงรอบพระอุโบสถ ทำรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กรอบๆ บริเวณวัดสร้างศาลาพักร้อนหน้าวัด สร้างฌาปนสถาน (เมรุเผาศพ)
ปฏิสังขรณ์ศาลาการเปรียญ และสร้างศาลาเรียงพร้อมทั้งเปลี่ยนกระเบื้องศาลาทั้งหมด ทำห้องสุขาชาย-หญิง พร้อมห้องน้ำ สร้างถังน้ำคอนกรีตใหญ่และศาลา สร้างสะพานคอนกรีตจากกุฏิไปยังศาลาการเปรียญ เปลี่ยนกระเบื้องหลังคาพระอุโบสถ จากกระเบื้องเคลือบมาเป็นกระเบื้องลายเทพนม สร้างภาพเขียนฝาผนังในพระอุโบสถ เป็นภาพพุทธประวัติ และเรื่องราวของพระเวสสันดรชาดก

หลวงปู่ทิม วัดพระขาว เป็นพระนักปฏิบัติ และชอบการปลีกวิเวกอยู่ในป่าช้า สมถะรักสันโดษ เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ไม่จับต้องปัจจัยเงินทอง มีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ มีความเมตตาต่อทุกคนที่ไปกราบไหว้โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ หรือคนรวยคนจน ท่านให้ความเสมอภาค

การเข้ากราบไหว้ขอพรหลวงปู่ทิม วัดพระขาว ทุกคนมีโอกาสเหมือนกันหมด และจะได้รับแจกของดีจากมือท่านโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่องหรือเครื่องรางของขลัง อาทิ พระขุนแผน ปลาเงินปลาทอง ลูกอมชานหมาก ภาพถ่ายสี ขนาดพกติดตัวที่เลื่องลือกันว่ามีพุทธคุณด้านเมตตามหานิยมและโชคลาภสูง

หลวงปู่ทิม วัดพระขาว โดดเด่นด้านวัตถุมงคลประเภทพระเครื่องและเครื่องรางของขลัง ท่านได้ศึกษาวิชาอาคมจากหลวงพ่อสังข์ พระอุปัชฌาย์, หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก, หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นต้น จนมีความเชี่ยวชาญชำนาญในวิปัสสนากรรมฐาน และวิทยาคมต่างๆ

หลวงปู่ทิม วัดพระขาวท่านมีปริศนาธรรม คำสอนอันทรงคุณค่า รวมทั้งการสร้างและเสกวัตถุมงคลจนเลื่องชื่อ เป็นที่ต้องการของนักสะสมและลูกศิษย์ลูกหา โดยเฉพาะ ลูกอมชานหมาก

สำหรับวัตถุมงคลหลวงปู่ทิม วัดพระขาว พระกริ่ง พระขุนแผน และเหรียญมีสร้างหลากรุ่นหลายปีมาก รุ่นที่หยิบยกมาเอ่ยถึงนี้ นับวันเริ่มหายากแล้ว พระกริ่งสร้างปี 2539 พระขุนแผนเคลือบ สร้างปี 2540 และเหรียญรูปเหมือน สร้างปี 2540 จัดสร้างถวายหลวงปู่ทิม สำหรับแจกฟรีให้กับบรรดาลูกศิษย์ลูกหา โดยนักธุรกิจใจบุญ "บุญมา บุญเลิศวณิชย์" ซึ่งขออนุญาตสร้างไว้ทั้งหมด 14 พิมพ์ด้วยกัน

โดยเฉพาะเหรียญรูปเหมือนหลวงปู่ทิม วัดพระขาว ห้วงนี้ลูกศิษย์ลูกหาสายตรงตามเก็บหมด ด้านหน้าเป็นรูปเหมือนหลวงปู่ทิมนั่งเต็มองค์ ด้านบนเขียนว่า พระครูสังวรสมณกิจ (หลวงปู่ทิม อตฺตสนฺโต) ด้านล่างเขียนว่า รุ่นแรก ส่วนด้านหลังส่วนบนเขียนว่า "แจกวันเกิดอายุ ๘๔-๑๕ ม.ค.๔๐ วัดพระขาว จ.พระนครศรีอยุธยา" ตรงกลางมียันต์ ด้านล่างเขียนว่า "รุ่นบุญรวยมา"

ก่อนหลวงปู่ทิม วัดพระขาวท่านละสังขารยังเมตตาอธิษฐานจิตพระขุนแผนและพระนางพญา ให้วัดโล่ห์สุทธาวาส จ.อ่างทอง เปิดให้ประชาชนทั่วไปร่วมบุญบูชา เพื่อนำปัจจัยสมทบทุนสร้างอุโบสถวัดโล่ห์ฯ นอกจากนี้ ยังอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลรุ่นสุดท้าย รุ่นที่ระลึกครบ 8 รอบ 96 ปี เพื่อนำรายได้บูรณะวัดพระขาว จ.พระนครศรีอยุธยา

ท้ายที่สุด ด้วยสภาพสังขารที่ร่วงโรยไปตามวัย กอปรด้วยอายุที่ล่วงเลยเข้าสู่บั้นปลาย หลวงปู่ทิม อัตตสันโตท่านย่อมไม่สามารถหลีกหนีสัจธรรมชีวิตที่เคยกล่าวปรารภไว้ได้เช่นกัน เมื่อเวลา 10.55 น. วันที่ 22 มีนาคม 2552 หลวงปู่ทิมได้ละสังขารจากไปอย่างสงบ ด้วยอาการปอดบวมและติดเชื้อในกระแสโลหิต

หลวงปู่ทิม วัดพระขาว หรือ"พระครูสังวรสมณกิจ"ย้ำอยู่เสมอว่า วัตถุมงคลทั้งหลายล้วนเข้มขลังด้วยอำนาจแห่ง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แต่ไม่ว่าใครจะมีพระเครื่องที่ดี เด่น ดังเพียงใดก็ตาม ที่สุดแล้วก็ไม่สามารถหนีความตายไปได้ เพราะนี่คือสัจธรรมของชีวิต
คอลัมน์ มงคลข่าวสด ที่มา...หนังสือพิมพ์ข่าวสด
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.luangputim.com/home.html

น้ำท่วม ตลาดบ้านแพน อำเภอเสนา พระนครศรีอยุธยา


น้ำท่วม ตลาดบ้านแพน อำเภอเสนา พระนครศรีอยุธยา
26 ตุลาคม 2553 ทีมงาน ล้อหมุน.คอม ก็ได้เข้าไปเก็บภาพน้ำท่วมและภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านแพนมาให้ชมกันครับ กับปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆอีกประมาณ20เซนติเมตรก็จะเท่ากับน้ำท่วมตอน ปี 2549
ก็เป็นภาพบางส่วนเพียงกับเส้นทางที่เข้าตลาด

รูปนี้เป็นทางเข้าตลาดนะครับซึ่งน้ำได้ท่วมหมดแล้ว
หน้าไปรษณีย์ จะเห็นได้ว่าน้ำท่วมมิดกำแพงปูนแล้ว

พามาชิมก๋วยเตี๋ยวต้มยำไก่ฉีกเจ้าเจ็ดที่ตลาดน้ำวัดบางนมโค

หลายๆท่านอาจจะเบื่อกับก๋วยเตี๋ยวเรือกันมาบ้างแล้วมองไปทางไหนก็เจอก๋วยเตี๋ยวเรือครั้งนี้ ล้อหมุนดอทคอม จะพาท่านมาเปลี่ยนรสชาติเอาแบบเผ็ดจี๊ดเปรี้ยวจ๊าดเลือดลมจะได้พุ่งพล่านกันบ้างนะครับ ก็ยังวนเวียนอยู่กับวัดบางนมโคนี่ละครับ
หรือเรียกอีกอย่างว่าหากินกับวัดนะครับ เอ้ยไม่ใช่อย่างนั้น เขาเรียกว่าช่วงกันส่งเสริมช่วยกันอนุรักษ์กันเอาไว้ครับไม่ใช่เอะอะก็สยามพารากอนเดินตากแอร์กันอยู่นั่นล่ะ ออกมารับแสงแดดกันบ้างนะ สูดอากาศบริสุทธิ์แถวชานเมืองกันหน่อยครับ จากที่เกริ่นมาจากตอนที่แล้ว นมัสการหลวงพ่อปานวัดบางนมโค (สงสัยจังวนเวียนอยู่แถวนี้วางแผนอะไรไว้รึเปล่า)ก็จะต่อจากตอนที่แล้วกลาบพระไหว้พระหรือจะทำสังฆทาน ขอหวย เซียมซี ยกช้างกันเสร็จแล้ว ก็เดินไปที่ริมน้ำก็จะเจอกับแพปลาและร้านค้ามากมาย
(แนะนำให้มาวันหยุดเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดต่างๆคนจะเยอะพอสมควรส่วนวันธรรมดานั้นเงียบเหงาพอสมควรเหมือนกัน)

ป้ายแพปลาก็ติดอยู่ที่ริมแม่น้ำ


แพขวามือมีร้านอาหารมากมายรอท่านอยู่หรือจะอาหารปลาที่นี่ก็มีไว้บริการครบครัน


ด้ายนี้แพทางซ้ายมือก็มีไว้รอเหมือนกันซึ่งสองแพนี้ต่อกันสามารถเดินถึงกันได้ตลอด

นมัสการหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

พระคาถา พระคาถา ๓ บทนี้ เป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์มาก หากผู้ใดนำไปใช้จะเกิดโชคลาภมั่งมีเงินทองอย่างมหัศจรรย์
(ว่า "นะโม ฯลฯ " ๓ จบ ) พระคาถาบทนำ ว่าครั้งเดียว
พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ
พระ คาถาพระปัจเจกะโพธิ์ ว่า ๓ จบ หรือ ๕ จบ หรือ ๗ จบ หรือ ๙ จบ ก็ได้ แต่ต้องสม่ำเสมอ จึงจะเกิดผล
" วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา
วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มาณี มามะ พุทธัสสะ สวาโหม "

ใช้ สวดภาวนาก่อนนอน ๓ จบ และตื่นนอนเช้า ๓ จบ เป็นการเรียกทรัพย์เรียกลาภ


ก่อนอื่นต้องกราบสวัสดีมิตรรักแฟนเพลงทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมบล๊อคของเราซึ่งมีผู้คนเข้าชมเป็นจำนวนมหาศาลแน่นขนัดจนบล๊อคแทบแตก(โกหกจะบาปไหมเนี่ย)น่นแน่นที่ไหนกันโกหกทั้งนั้นแต่เรื่องที่จะนำเสนอต่อไปนี้ไม่โกหกครับ วันนี้ก็เลยนำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ในเวอร์ชั่นเต็ม ซึ่งหลายๆท่านอาจยังไม่ทราบและจะเป็นประโยชน์บ้าง แต่หลายท่านคงยังสงสัยว่าทำไมนำเสนอเรื่องราวแต่ในจังหวัดอยุธยา ทำไมไม่ไปจังหวัดอื่นบ้าง จริงๆแล้วอยากจะบอกว่าผมคนอยุธยาครับก็เลยอยากจะนำเสนออะไรที่อยู่ไกล้ตัวอาจจะธรรมดาสำหรับผมแต่สำหรับท่านอื่นกลับเป็นเรื่องแปลก ไม่เคยรู้เลย ดีนะ มีแบบนี้ด้วยเหรอ ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้อ่านครับ หลวงพ่อปานวัดบางนมโค อีกหนึ่งวัดครับที่ยังมีผู้คนหลั่งไหลมากลาบไหว้บูชากันตลอดอย่างไม่ขาดสาย เพราะที่นี่ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่อง วิชาอาคามีให้เห็นปฏิบัติแล้วได้ผลจริงจึงที่ที่นับถือชาวบ้านถิ่นนี้และลูกศิษย์มากมาย ช่วงนี้เป็นหน้าน้ำพอดีน้ำบริเวณหน้าวัดจะสูงมากทำให้วิวทิวทัศน์สวยไปอีกแบบ และยังมีแพปลา แพอาหารไว้รองรับผู้มาท่องเที่ยวแล้วก็ใครมีลูกเด็กเล็กแดงก็ระวังกันนิดครับจะหล่นน้ำไปดูๆกันด้วยนะครับ
ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค พระครูวิหารกิจจานุการ
หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัดบางนมโคนี้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่ปรากฏ บางท่านก็ว่ามีในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เดินชื่อวัดนมโค ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2310 ในคราวที่ควันแห่งศึกสงครามกำลังรุมล้อมกรุงศรีอยุธยา พม่าข้าศึกได้มาตั้งค่ายหนึ่งขึ้นที่ตำบลสีกุก ห่างจากวัดบางนมโค ซึ่งย่านวัดบางนมโคนี้มีการเลี้ยงวัวมากกว่าที่อื่นพม่า ก็ได้ถือโอกาสมากวาดต้อนเอา วัว ควาย จากย่านบางนมโคไปเป็นเสบียงเลี้ยงกองทัพ ในที่สุดกรุงศรีอยุธยาก็เสียแก่พม่า บ้านเมืองระส่ำระสาย วัดบางนมโค จึงทรุดโทรมไปบ้างตามกาลเวลา ต่อมาก็ได้มีการซ่อมแซมขึ้นใหม่ ก็ยังมี การเลี้ยงโคกันอยู่อีกมากมาย ชาวบ้านจึงเรียกติดปากว่า วัดบางนมโคอาณาเขตของวัดบางนมโค วัดบางนมโคมีเนื้อที่ทั้งหมด 24 ไร่ 21 วา 3 งาน ทิศตะวันออกจดที่ดิน เลขที่ 163 ทางสาธารณะประโยชน์ทิศตะวันตกจดที่มีการครอบครองแม่น้ำปลายนา ทิศเหนือจดที่ดินเลขที่ 134 มีการครอบครองแม่น้ำเก่าปลายนา ทิศใต้จดที่ดินเลขที่ 162, 163, 165 ทางสาธารณะประโยชน์

ตลาดลาดชะโด ตลาดเก่าแก่กว่า 100 ปี


ลาดชะโดแดนทำหรีด อดีตแหล่งรวมปลา เสาศาลาวัดต้นใหญ่
ภาพยนตร์ไทยมาถ่ายทำ งามล้ำด้วยสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น
ช่วยๆกันมาเที่ยวกันนะครับ ก่อนที่จะสูญพันธุ์ ตลาดเก่าไม่ไกลกรุงเทพ
.....ตลาดเก่า ร้อยปีลาดชะโดแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อยู่ใน อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาถ้าขับรถไป ก็ไปเส้นสายเอเซียเลยครับ (ออกทางรังสิต) พอเจอป้าย อยุธยา-วังน้อย ก็เลี้ยวซ้ายตามป้ายอยุธยาไปเลยครับ แล้วก็ตรงอย่างเดียว ผ่านเจดีย์ใหญ่ ข้ามสะพาน ตรงไปเรื่อยๆ เจอ 3 แยกก็ เลี้ยวขวา สำนักงานอยู่ติดริมถนน อยู่ทางซ้ายมือ ส่วนถ้าไม่มีรถก็สามารถไปขึ้นรถได้ที่หมอชิต สาย กทม. - ผักไห่ (อยุธยา) มาลงที่ตัวอำเภอผักไห่ แล้วค่อยเหมานั่งสามล้อมาตลาดลาดชะโด ตกอยู่ที่คันละ 50 บาท (ราคานี้ ราคาเหมาไปนะ ไปกันสัก 3-4 คน ที่ อ.ผักไห่ โดยเฉพาะสายน้ำเส้นนี้และตลาดลาดชะโด